วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ภายในห้องกระจกของบ้าน"ธรรมชาติ"



เมื่อนำโซฟามาตั้งและนำอุปกรณ์ทั้งที่ทำเองและซื้อมาจัดเรียบร้อย ไปหนึ่งจุดเห็นมุมห้องยังว่างอยู่ก็นำชั้นไม้สำหรับเข้ามุมในส่วนห้องนั่งเล่นมาไว้ที่มุมห้องใกล้โซฟา เอาโคมไฟที่ห้องรับแขกแบ่งปันมาไว้บนชั้นไม้จัดให้อยู่บนสุด เมื่อคราวไปเที่ยวพม่าที่เมืองร่างกุ้ง ได้ไปซื้อไม้แกะสลักมาหลายชิ้น เป็นรูปพระพุทธรูปในปางไสยยาสน์ พระสิวลี และโมคคัลลนะ จัดเป็นสิริมงคลไว้ชั้นบนสุดเช่นกัน เมื่อไปเที่ยวเจเจ ไปเห็นร้านหนึ่งเขาเอาไม้มาทำเป็นรูปผู้หญิง ผู้ชาย แล้วทาสีแต่งตัวในรูปแบบต่างๆ เป็น hand make ชอบของที่ design จึงซื้อมาหลายคู่ แถมมีแมวตัวเล็ก สไตล์ของอินโดนิเซีย แถมด้วยผลไม้ต่างทำจากไม้เช่นกันมาจัดใส่ถาดน่ากินน่ากินในชั้นที่สอง ชั้นสุดท้ายข้างล่าง ก็จัดดอกไม้ใส่แจกันเล็กๆ จำได้เป็นดอกไม้ที่น้องเขาจัดเป็นช่อให้เป็นของขวัญ ได้มาจัดทำใหม่ แล้วเอานกตัวนิดๆ4-5 ตัวซึ่งอยู่ในกริยาท่าทางต่างๆ มาวางกระจัดกระจายเป็นที่สำราญใจ ในบางช่วงจะมีแสงแดดทะลุกระจกมากระทนวิ๊งๆ มีม่านเป็นลูกไม้สีครีมบางๆแขวนอยู่ส่วนบน ระยะหลังเห็นว่าบางเดือนแดดจะจัดและแรงมากมากสาดส่องมา ต้องไปหาผ้ามาทำผ้าม่านแบบสองชั้นได้มาจากตอนเดินเล่นที่ลังกาวี เป็นผ้าไหมอิตาลีสีครีม ตัวในเป็นผ้าบางสีขาวแบบอ๊อพไวท์ มีลายเป็นตารางสี่เหลี่ยม ไว้กั้นแสงอาทิตย์สมใจที่คิดทำห้อง sun room... ฮิฮิฮิ


อีกมุมด้านหน้ามีโต๊ะข้างเตียงซื้อมาสมัยจบมาใหม่ๆและทำงานได้เงินเดือนแรกๆ พาย้ายมาหลายแห่งเก่ามากทิ้งหรือให้ใครไม่ได้เพราะมันเป็นเงินเดือนครั้งแรกๆที่ซื้อด้วยตนเอง และเป็นของชิ้นเดียวที่มีตอนนี้ จึงนำมาใช้เป็นที่วางกระถางต้นไม้ปลูกด้วยต้นไม้เทียมทำให้สดชื่น ที่ไม่ใช้ไม้จริงกลัวโต๊ะจะเปื่อย บอกแล้วเป็นสมบัติลายครามของตัวเองที่มีอยู่ นอกจากนี้ได้นำยีร๊าปที่ลำตัวทำด้วยกะลามะพร้าว ส่วนขาและส่วนคอคนขายบอกว่าทำจากไม้กระท้อน เวลาซื้อสัตว์จะต้องซื้อครบ set มีพ่อ แม่ ลูก ดูแล้วอบอุ่น


ตรงข้ามโซฟาวางทีวี บนพื้นที่ว่างๆแคบๆของทีวีได้จัดวางตุ๊กตาไม้เป็นคู่ๆ นาฬิกาไม้ และสิ่งประดษฐ์เป็นรูปผลลูกแพร์จากพม่า ฝาผนังเหนือทีวีมีนาฬิกา peter rabbit แขวนห้อยลงมา ได้หอบหิ้วมาจากห้างที่ไต้หวัน เลื่อมลงของผนังด้านนี้มีไม้สักแกะสลักลายงดงามหนักเล็กน้อยจากพม่าแขวนโชว์ฝีมือของมนุษย์




ด้านในเป็นเคาน์เตอร์ปูน ตอนแรกคิดจะทำอาหารที่นี้ ตอนหลังเปลี่ยนใจเพราะเสียดายบรรยากาศ ซึ่งมีแผนต่อไปในการทำครัวนอกบ้าน บอกแล้วไอเดียไม่มีวันหยุดก็ตกแต่งรกๆๆไปได้เรื่อยๆ ความมีศิลปแบบเราได้แสวงหาสาวน้อนอินเดียแดงหน้าจิ้มลิ้ม ได้มา 3 สาวนั่งหน้าเหรออยู่บนกล่องไฟฟ้าริมกำแพง



เด็กหญิงจอมแก่น


เด็กชายจอมเฮี้ยว

หญิงไทยกุลสตรี



ประตูทางเข้าติดกระดิ่งบ้านนกพอเปิดมีเสียงกังวานเสนาะหู

ฮาฮาฮา.....สนุกจังเลย

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านที่กรุงเทพ


วันนี้มาแวะบ้านที่กรุงเทพ อยู่แถวหัวหมากเป็นบ้านที่พวกเราเคยใช้ชีวิตยามเยาว์วัย สมัยเรียนหนังสือทุกคนอาศัยในชายคาเดียวกัน สมัยนั้นเป็นทุ่งโล่งว่างเวลาไปไหนมาไหนลำบาก เข้าออกหมู่บ้านต้องคอยรถนานมาก ช่วงที่พี่น้องใช้ชีวิตที่หมู่บ้านเสรี ตัวเองจะอยู่หอของมหาวิทยาลัย นานๆก็กลับมาบ้านสักครั้งเห็นชีวิตของพี่ๆน้องๆมีความสุข อิจฉามากๆ วันเสาร์อาทิตย์จะเป็นวันจ่ายกับข้าว และทำอาหารอร่อยรับประทานกัน ตัวเองเวลากลับมาบ้านพอเวลาใกล้สามโมงเย็นก็รีบเก็บของเดินทางกลับหอพักที่อยู่กันคนละมุมเมือง ได้กลับมาอยู่บ้านหลังนี้อีกครั้งตอนมาเรียนปริญญาโท ก็สนุกกับน้องๆและหลานๆมากๆเป็นอะไรที่ประทับใจ จากปี 2516 ถึง ปี 2553 เมื่อแวะเข้ามาเห็นช่างเต็มบ้าน ถามพี่สาวว่าเขาทำอะไรได้คำตอบว่ามาซ่อมฝ้าเพดาน มันก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วนะ แม้จะต่อเติมไปหลายครั้ง ตามอายุที่ต้องมีการซ่อมแซม แต่ที่ชอบยังมีต้นไม้ร่มรื่น สนามหน้าบ้านที่เคยเป็นสนามหญ้ามีต้นปาล์มเยอรมัน ปลูกเรียงรายเป็นทิวแถว และมีสวนต้นไม้เล็กๆจัดอยู่หลายมุมพร้อมม้าหินทีเคยนั่งเล่น หายไป แต่ได้ถูกดัดแปลงเป็นที่จอดรถเพิ่มขึ้นเพราะรถจากหนึ่งคันเพิ่มเป็นสามคัน ล้วนรุ่นใหญ่ แต่ก็ยังมีต้นไม้ให้เห็น ปลูกในกระถาง และแขวนให้ดูสบายตา โอ่งหัวหินจากโอ่งบัวมาจัดเป็นโอ่งน้ำพุอีกสองใบ ทำให้ไม่อึดอัด สภาพโดยรวมด้านนอกเปลี่ยนแปลงมากๆ จากหมู่บ้านทีเป็นส่วนตัวที่มีรถวิ่งส่วนใหญ่เป็นของสมาชิกในหมู่บ้าน เด็กสามารถขี่จักรยานเล่นได้สบายอย่างแต่ก่อนคงไม่ได้ เดียวนี้ เพราะเทศบาลเข้ามาจัดการ และหลังบ้านที่เป็นที่ว่างเปล่าที่คนหมู่บ้านโกรธมากว่าทางหมู่บ้านไม่ทำสนามฟุตบอลให้ กลายเป็นถนนพระรามเก้าตัดผ่ากลางแยกหมู่บ้านเสรีอีกส่วนอยู่กันคนละฝากฝั่ง แม้นจะมีถนนผ่ากลางสมาชิกชาวเสรีที่ซื้อกับข้าวแถวนั้นก็ยังซื้อเหมือนเดิมเพราะมันกลายเป็นวิถีชีวิต จากคนหนุ่มสาวยุกต์นั้นกลายมาเป็น ส.ว. ยุกต์นี้ ได้ใช้ป็นที่พบปะคุยกันถามไถ่ทุกข์สุขกันมันเป็นฉากละครเรื่องยาวถ้าติดตามจะเห็นการเปลี่ยนแปลง จากเด็กๆสมัยโน้นก็เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนในสมัยนี้ และเริ่มมีเด็กๆรุ่นหลานๆเข้ามาแทนที่ บ้านหลายหลังก็เปลี่ยนเป็นบ้านที่สร้างสูงขึ้นคล้ายอพาร์ทเมนท์ นี้คือชีวิตที่ฉันเคยเข้าฉากละครที่นี้ในตอนหนึ่ง แล้วฉันติดตามมาดูละครเรื่องนี้ต่อในวันนี้


ต้นแหนออกดอกเต็มโอ่ง โอ่งนี้พี่เขยซื้อมาจากหัวหินเป็นสไตล์แถวชะอำ หัวหิน ราคา 200-300 บาท ขนมาทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมพ่อ แม่ ที่หัวหินมีอายุ 20 กว่าปี ช่วงแรกลงบัว เป็นสีต่างๆมากมาย จนไม่มีเวลาจะใส่ปุ๋ยวันเวลาผันเปลี่ยนจากอ่างบัวเป็นอ่างแหนที่ไม่ต้องดูแลมาก แต่ต้องโกยทิ้งเพราะเจริญเติบโตเร็วมากไม่ต้องใส่ปุ๋ย หลานชายเอาปลาหางนกยูงที่ซื้อมาจากสวนจักตุจักรมาใส่ ออกลูกออกหลานเต็มอีก ใครใคร่ขอก็ให้
ต้นบอนยังอยู่เพราะมันมีหัว ดีที่เจ้าของยังสนใจทำให้มันอยู่ถึงวันนี้ เห็นหลายต้นก็อยากได้เพราะเป็นบอนรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไรในยุคนี้ จึงได้ขอให้พี่ช่วยแยกหน่อให้ไว้โอกาสหน้ามา กทม. อีกครั้งจะได้เอาไปปลูกที่บ้านธรรมชาติ ในเมืองชายขอบที่อยู่ติดชายแดนใต้ด้านหนึ่งของประเทศ
ช่างที่มาทำงานฝ้าเพดานภายในเสร็จ หลานชายเห็นฝ้าที่โรงรถเริ่มเสื่อมโทรมก็ให้ช่างทำต่อ ช่างก็น่ารักช่วยจัดการให้อย่างเต็มใจ



วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความทรงจำหน้าระเบียงเล็กๆ ของบ้านธรรมชาติ


ความทรงจำพื้นที่หน้าระเบียงเล็ก ก่อนที่จะถูกรื้อถอน ทำเป็นห้องกระจกแทน เพราะมันจะไม่กลับมาอีกแล้ว หน้าระเบียงเล็กฉันได้จัดสวนเล็กๆด้วยตนเอง หาซื้อต้นไม้ ไปเดินดูตามบ้านคนรู้จักเพื่อขอมาปลูก การเอาของประดับสวนจากบ้านในเมือง และซื้อเพิ่มเติมบ้างนำมาจัดสวน มันเป็นความทรงจำเล็กๆที่ยังอยู่ในซอกหัวใจอ่างน้ำพุลีลาวดีอยู่ตรงกลางของแถวต้นชาดัด ระหว่างต้นชาดัดมีนกพิราปขาว3-4 ตัวซ้อนอยู่ลำตัวสีขาวตัดกับสีเขียวเป็นระยะๆ มีเป็ดรุ่นกะทงอยู่ใกล้อ่างน้ำพุรอรับสายน้ำที่กระเซ็นออกมากระทบกับลำตัวให้ความรู้สึกเย็นสบาย เมื่อยู่ท่ามกลางแสงแดด


กระต่าย ลูกเป็ด กบ นกตัวเล็กอยู่รวมกันคุยกันลั่นใต้ต้นเข็มหลังพุ่มเฟร์น ใกล้ๆมีใบหลิวเกาหลีโบกพัดอยู่ไปมา


อีกมุมหนึ่งเจ้าเป็ดรุ่นใหญ่และเป็ดหัวเขียวยืนอยู่ใกล้อ่างปลูกผักแว่นน้ำ ที่ตลกคือมีหม้อดินตั้งอยู่บนเตาไฟ...เหล่าสัตว์ทั้งหลายคิดหนักชีวิตเราจะรอดไม่นี้ ตัวใดจะรับเคราะห์ไปเป็นอาหาร แต่ละตัวทำหน้าละห้อย...สงสารฉันเถิด โปรดอย่าทำฉันเลย


เก๋งจีนหน้าระเบียงเล็กยืนตะหง่านท่ามกลางสวนเล็กๆ มองเข้าไปจะเห็นเครือกล้วยออกผลแน่นเครือ ยีร๊าปน้อยยืนแอบข้างหลังต้นใบเงิน มีต้นมะยมด่างเป็นฉากหลังให้


นี้ก็อ่างน้ำพุ



ดอกชบาพันธ์ฮาวาย ออกดอกสีสวยอยู่รอบบ้าน สิ่งเหล่านี้ได้เลือนหายไป แต่มีห้องกระจกเข้ามาแทน...นี้เป็นชีวิตที่ผันแปรไปตามกาลเวลา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องจริงมีให้เห็นในธรรมชาติ ทำดี ทำดี และทำดี

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พิธีมงคลที่ "บ้านธรรมชาติ"

เมื่อต่อเติมห้องกระจกเสร็จ บ้านนี้ได้มีโอกาสใช้เป็นเรือนหมั้นของหลานชาย โชคดีมากที่เค้าเลือกบ้านหลังเล็กๆ เป็นบ้านเจ้าสาวเพื่อทำพิธีหมั้น เราก็เริ่มประชุมกลุ่มกันในพี่น้อง ว่าจะจัดการประกาศหมั้นและสวมแหวนหมั้นตำแหน่งไหน พิธีรดน้ำทำห้องใด และจะมีการดื่มน้ำชาหรือไม่ แขกผู้ใหญ่มีใครมาบ้าง จำนวนแขกในพิธีเช้าเข้ามาร่วมในบ้านไม่หมด จะจัดที่ตรงไหนได้บ้าง แล้วทานข้าวกลางวันสำหรับแขกสำคัญที่ไหน คนอื่นๆรับประทานกันอย่างไร ใครควรได้มานั่งในบ้านบ้าง คนมารดน้ำจะเข้าออกอย่างไรไม่ให้แน่นขนัดเพราะบ้านเล็ก คนเป็นเจ้าของพื้นที่คิดไม่มาก จะเอาอย่างไรได้ทั้งนั้น เพราะเจ้าหลานชายอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ ป.5 จนจบมหาวิทยาลัย ทำงานมา2-3 ปี และนี้จะแต่งงานแล้วใช้บ้านฉันเป็นสถานที่ทำพิธีเช้า การทำงานมงคลก็จะเกิดมงคลกับทีอยุ่อาศัย และเป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นว่าเราสามารถดูแลเขาจนถึงวันแต่งงาน เป็นก้าวใหม่ก้าวแรกการมีชีวิตครอบครัวที่เราสามารถทำให้เขาได้เหมือนเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา ขอบใจนะหลานชายที่ใช้บ้านป้าทำพิธีมงคลในภาคเช้า วันนั้นคนแน่นขนัดส่วนใหญ่เป็นญาติสนิท และแขกผู้ใหญ่ห้องกระจกได้ถูกเลือกเป็นห้องรดน้ำสังข์ และพิธีเคารพญาติผู้ใหญ่ด้วยการดื่มน้ำชา


ห้องรับแขกได้จัด เป็นห้องพิธีหมั้น เนื่องจากห้อง มีขนาดไม่ใหญ่นัก คนที่ได้นั่งถือว่าเป็นบิ๊กของงาน เจ้าของสถานที่ยังไม่ได้เข้าไปร่วมพิธี ได้แต่เดินดูความเรียบร้อยในสนาม แต่มีโอกาสถูกเชิญให้ไปกล่าวแสดงความยินดี โดยไม่มีการบอกล่วงหน้ามาก่อน จึงต้องตามหาตัวกันจ้าระหวัน ให้เข้าไปกล่าวแสดงความยินดีและต้อนรับหลานสะใภ้ในพิธีการ เพราะเรานึกว่าไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในพิธี เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เขาผ่านชีวิตกันมามากกว่าเรา ตอนเช้าตรูก่อนเริ่มงานเรากังวลออกตรวจดูความเรียบร้อยทุกจุดก่อนที่แขกจะทยอยเข้ามาในงาน หลังจากนั้นก็เฝ้าดูเวลา ตั้งตาคอยเมื่อใกล้ถึงเวลา ได้ยินเสียงกลองยาวดังใกล้ๆเข้ามา สักระยะมีเสียงประทัดดังลั่นนานพอควร แสดงถึงการจุดประทัดชุดใหญ่ ขบวนขันหมากใกล้บ้าน"ธรรมชาติ" เต็มที เราชะเง้อดูเห็นกระบวนยาว เดินเรียงรายด้วยสีหน้าที่อิ่มเอิบของประชาชีที่ถือขันหมากและเครื่องอุปกรณ์ต่างๆตามวัฒนธรรมของไทย และสอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น


เมื่อกระบวนขันหมากมาถึงหน้าประตูรั้วบ้าน "ธรรมชาติ" ญาติๆในบ้านเริ่มปลดสร้อยคอจับกันเป็นคู่ๆ มาทำการกั้นประตูมีการซักถามเจ้าบ่าวกันสนุกสนาน เจ้าบ่าวมีกุนซือควรช่วยแก้ต่าง ผู้กั้นซักถามเป็นที่พอใจร่วมกับซองแดงถ้าคิดว่าต้องการมากกว่าหนึ่งซองที่เจ้าบ่าวให้ ต้องต่อรองกันจนดูแล้วโอเค ก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไป ที่ดูอยู่มีหลายชั้นกว่าจะถึงตัวบ้าน.... ฮิฮิฮิ ได้ผอมกันคราวนี้เจ้าหลานชาย





กว่าจะหมดด่านอรหันต์ เรียกว่าเจ้าบ่าวเหงื่อโซก จริงๆแล้วด่านที่ผ่านมาเด็กๆ ชิวๆๆ ยังมีอีกหลายด่านที่หนักๆๆ สำหรับผู้ที่ถือขันหมากและของหมั้นได้ผ่านไปเรียบร้อย นั่งคอยอยู่ข้างใน ทางด้านนี้จะมีญาติผู้ใหญ่คอยรับของหมั้นด้วยความยินดีปราโมทย์กันทั้งสองฝ่าย

เจ้าบ่าวและผู้ใหญ่ได้มาถึงประตูทางเข้าห้องที่ใช้เป็นพิธีหมั้นเรียบร้อยแล้ว กำลังจะได้เข้ามาอย่างใจจดใจจอ...ท้ายสุดก็ได้เข้าแล้ว...ไชโยๆๆๆๆ

แต่แอบเห็นคุณอาหญิงเข้ามาตรวจตราเงินที่มาสู่ขอ...ไม่เชื่อใจหรือจ๊ะ...อย่า...งกน๊าาาาาาาา ใครว่าชั้นงก ชั้นเพียงดูความเรียบร้อยเห็นว่าแบกหามถึงสองคนมันเอียงกะเท่เล้...เพียงจัดตั้งให้สวยงามจ๊ะ...รู้ไว้นะจ๊ะ

ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพร้อมพ่อแม่บ่าวสาวไ ด้มานั่งครบอยู่ข้างบนส่วนที่เป็นห้องรับแขก ญาติอาวุโสน้อยอยู่อีกระดับ อยู่ในส่วนที่จัดเป็นห้องนั่งเล่น สำหรับเจ้าบ่าวสาวก็พร้อมทำพิธีการหมั้นตามประเพณี


หลังเสร็จสิ้นพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการ ก็ตามด้วยพิธีรดน้ำและพิธีไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายในคราวต่อไป